“นิพนธ์” นำชาวสงขลาร่วมงานบุญใหญ่สมโภช “เสาหลักเมืองสงขลา” ครบรอบ 179 ปี สืบสานวัฒนธรรมประวัติศาสตร์ความดีงาม แทนคุณแผ่นดิน เสริมศิริมงคลให้ชีวิต เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 10 มีนาคม 2564 ที่ บริเวณหน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลาถ.นางงาม อ.เมืองสงขลา นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรเนื่องในพิธีสมโภชเสาหลักเมืองสงขลาครบ 179 ปี โดยมีนายจารุวัฒน์ เกลี้ยงเกลา ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นางกัญจนา เกลี้ยงเกลา ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดสงขลา นางสุรียพรรณ์ ณ สงขลา นายวรณัฏฐ์ หนูรอต รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนชาวสงขลา เข้าร่วมภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 สำหรับความเป็นมาของเสาหลักเมืองสงขลา จากการศึกษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พบว่า เมืองสงขลาย้ายสถานที่ตั้งเมืองมาแล้ว 3 ครั้ง โดยเริ่มจาก เมืองสงขลาฝั่งหัวเขาแดง ซึ่งปรากฎหลักฐานทางโบราณสถานและโบราณวัตถุหลายแห่ง แต่บ้านเมืองถูกทำลายจากภัยสงครามจนหมดสิ้น จึงย้ายเมืองมาตั้งที่ฝั่งแหลมสน แต่ต้องประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ และลักษณะภูมิศาสตร์เป็นพื้นที่ลาดชัน ไม่มีพื้นที่ราบเพียงพอในการขยายเมือง จึงย้ายเมืองอีกครั้งหนึ่งโดยข้ามทะเลมาอยู่ที่ฝั่งบ่อยาง ซึ่งเป็นเมืองสงขลาในปัจจุบัน โดยในสมัยรัชกาลที่ 3 และในประชุมพงศาวตารได้ระบุความตอนหนึ่งว่า “ครั้น ณ วันเดือน 4 ขึ้น 10 ค่ำ เวลาเช้าเก้าโมง 1 กับ 10 นาที ได้ฤกษ์ พระยาสงขลา (เถี้ยนเส้ง) กับพระครูอัษฎาจารย์พราหมณ์ได้เชิญหลักไม้ชัยพฤกษ์ลงฝังไว้ที่กลางเมืองสงขลา เป็นเสาหลักเมือง มีปรากฎอยู่จนทุกวันนี้” ซึ่งตามปฏิทินสุริยคติตรงกับวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2385 หรือเมื่อ 179 ปีมาแล้ว และจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ประเพณี วัฒนธรรมดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองสงขลา รวมทั้งการตั้งถิ่นฐานของเมืองสงขลาในอดีต จึงเห็นควรกำหนดให้วันที่ ๑๐ มีนาคมของทุกปีเป็น “วันสงขลา ” เพื่อระลึกถึงการสถาปนาเมืองสงขลาในยุคปัจจุบัน แม้ความจริงจะมี ประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปีแล้วก็ตาม เพื่อให้ผู้ที่อาศัยบนแผ่นดินนี้ ทั้งที่เป็นถิ่นกำเนิด พักพิง ศึกษาเล่าเรียน และประกอบอาชีพอยู่ทุกหนแห่งในปัจจุบันได้ตระหนัก มีจิตสำนึก และนำมาซึ่งการรวมพลัง สร้างความรัก ความสามัคคีดำเนินกิจกรรมร่วมกันเป็นการตอบแทนบุญคุณแผ่นดินสืบไป นอกจากนี้ ภายในศาลหลักเมืองสงขลา ยังมีองค์เทพศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องรักษาเมืองให้พ้นภัยพิบัติต่างๆ และเป็นที่เคารพสักการะ มีองค์เทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ เสี่ยงฮ๋องเหล่าเอี๋ย เจ้าพ่อหลักเมืองสงขลา พระเสื้อเมือง โบ้เชงไต่เต่ พระหมอรักษา ตี่ฮู่อ๋องเอี๋ย เทพเจ้ารักษาโรค และเฉ่งจุ้ยจ้อ พระหมอเทพรักษาโรคภัยของชาวสงขลา ทั้งนี้กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนศาลหลักเมืองเป็นโบราณสถาน เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2478 และในทุกวันที่ 10 มี.ค.จะมีการจัดสมโภชเป็นประจำทุกปีอีกด้วย
วันที่ 4 มีนาคม 2564 เวลา 14.00 น. นายชัยชาญ สิทธิวิรัชธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยและคณะ ได้เข้าตรวจเยี่ยมองค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) รัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย โดยมีนายชีระ วงศบูรณะ ผู้อำนวยการองค์การจัดการน้ำเสีย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และพนักงานองค์การจัดการน้ำเสียร่วมให้การต้อนรับ ซึ่งการตรวจเยี่ยมองค์การจัดการน้ำเสียของหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยในครั้งนี้ เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการของกระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2545 เพื่อให้หน่วยงานรับทราบนโยบายการตรวจราชการของกระทรวงมหาดไทย และนำเสนอเป้าหมาย ภารกิจงานหลัก รายงานผลการดำเนินงานที่เป็นนโยบายของรัฐวิสาหกิจ รวมถึงปัญหา/อุปสรรค ตลอดจนข้อเสนอแนะให้กับผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย และข้อมูลที่เกี่ยวข้องอันจะเป็นประโยชน์ ในการลงพื้นที่ตรวจราชการของผู้ตรวจราชการของผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564
เมื่อเวลา 10.30 น วันนี้(21 ก.พ.64) นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่เพื่อสำรวจบริเวณชายหาดที่ถูกคลื่นกัดเซาะ จนทำให้ต้นสนขนาดใหญ่ริมทะเลโค่นล้ม ได้รับความเสียหาย ณ ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมืองสงขลา โดยมีนายชัยพร นิยมแก้ว นายอำเภอเมืองสงขลา พร้อมด้วย นายเอกชัย ศิริพันธ์ รองประธานสภา อบจ.สงขลา ร่วมลงพื้นที่ นายนิพนธ์ รมช.มท.กล่าวว่า “วันนี้ได้ลงมาในพื้นที่ ที่ถูกคลื่นกัดเซาะชายฝั่งในบริเวณตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมืองสงขลาพร้อมด้วยนายอำเภอ และสมาชิกสภาจังหวัดสงขลา ซึ่งได้นำมาดูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเนื่องจากมรสุม โดยบริเวณนี้จะเจอกับสถานการณ์อย่างนี้ทุกปี มีการกัดเซาะชายฝั่ง เป็นเหตุให้ต้นสนซึ่งมีอายุกว่า 50 ถึง 70 ปีได้รับผลกระทบ ล้มเป็นแนวอย่างนี้ ดังนั้นในระยะอันใกล้นี้ ก็จะเชิญหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง จะเรียนกับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาทิ กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย รวมถึงปภ. มาพูดคุยหามาตรการในการแก้ไขปัญหาคลื่นกัดเซาะชายฝั่งว่าจะมีการแก้ไขอย่างถาวรอย่างไร ไม่อย่างนั้นต้นสนที่เป็นธรรมชาติที่สวยงามของที่นี่ ก็จะถูกกัดเซาะตลอดไป และจะหามาตรการทำความเข้าใจกับชุมชนอย่างไร ในการที่จะ ช่วยกันดูแลรักษาธรรมชาติสิ่งเหล่านี้ไว้ และของใหม่ที่ทำก็ต้องไม่ให้มีผลกระทบกับธรรมชาติมากนัก อันนี้ก็จะดำเนินการต่อไป โดยจะขับเคลื่อนโครงการนี้ผ่านทางโครงการ “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” ซึ่งจะเป็นกลไกหนึ่งในการแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งในระยะสั้นเท่าที่ดูต้องให้หน่วยงานเดิม ซึ่งทราบว่ามีงบประมาณอยู่แล้ว แต่ทำความเข้าใจกับชุมชนยังไม่เรียบร้อย ซึ่งกรมเจ้าท่าก็มีงบประมาณอยู่ก้อนหนึ่ง แต่เกิดอะไรขึ้นยังไม่ทราบ ก็จะดูว่าจะมาแก้ไขอย่างไรไม่ให้ชายหาดแถวนี้ได้รับผลกระทบ ก็จะเร่งนัดทุกฝ่ายมาร่วมปรึกษากันอีกครั้งโดยเร็ว”
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 องค์การจัดการน้ำเสียจัดกิจกรรม “บำเพ็ญสาธารณะประโยชน์” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ณ มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เขตราชเทวี กรุงเทพฯ โดยมี นายชีระ วงศบูรณะ ผู้อำนวยการองค์การจัดการน้ำเสีย ผู้บริหาร และพนักงานองค์การจัดการน้ำเสีย เข้าร่วมกิจกรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปลูกและปลุกจิตสำนึกด้านคุณธรรม จริยธรรม รวมถึงการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ให้กับพนักงาน และลูกจ้างขององค์การจัดการน้ำเสีย ตามนโยบายการบริหารองค์กรให้ประสบความสำเร็จโดยอาศัยหลักธรรมาภิบาล นำหลักการกำกับดูแลที่ดีมาใช้ในการปฏิบัติงาน มุ่งสร้างวัฒนธรรม องค์กรโปร่งใส ต่อต้าน การทุจริตคอร์รัปชันและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 9.00 น. ณ ห้องประชุมกรมราชทัณฑ์ ชั้น 3 อาคารกรมราชทัณฑ์ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี นายเชาวน์ นกอยู่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการบำบัดน้ำเสียศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีลงนาม “บันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการสนับสนุนและเสริมสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการน้ำเสียระหว่างองค์การจัดการน้ำเสียกับกรมราชทัณฑ์” โดยมีนายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายชีระ วงศบูรณะ ผู้อำนวยการองค์การจัดการน้ำเสีย ให้เกียรติร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงฉบับดังกล่าว ที่มาของการจัดทำบันทึกข้อตกลงฉบับนี้เกิดขึ้นจากการที่กรมราชทัณฑ์ร่วมกับศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ในการดำเนินการให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำเสียในเรือนจำทั่วประเทศ และเห็นว่าเรือนจำส่วนใหญ่ยังมีปัญหาในการจัดการน้ำเสีย เนื่องจากไม่มีระบบบำบัดน้ำเสียหรือมีปริมาณน้ำเสียเกินกว่าความสามารถของระบบบำบัดในเรือนจำ ส่งผลให้เกิดมลภาวะทั้งภายในเรือนจำและบริเวณชุมชนข้างเคียง อีกทั้งยังก่อให้เกิดความสิ้นเปลืองทรัพยากร เนื่องจากไม่สามารถนำน้ำที่ใช้แล้วมาบำบัดและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ กรมราชทัณฑ์จึงประสานงานขอความอนุเคราะห์จากองค์การจัดการน้ำเสีย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความชำนาญด้านการจัดการน้ำเสียในภาพรวมของประเทศ เพื่อขอรับคำปรึกษาและข้อเสนอแนะในการวางแผนและพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำเสียของกรมราชทัณฑ์ ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ซึ่งทางองค์การจัดการน้ำเสียได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสียของกรมราชทัณฑ์ขึ้นเป็นการเฉพาะ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่างทั้งสองหน่วยงาน
นิพนธ์ กำชับ ผู้ว่าฯนครศรี ป้องกันไฟไหม้ป่าพรุควนเคร็ง หวั่นแล้งนี้ส่งผลกระทบรุนแรง ห่วงผลกระทบเศรษฐกิจฐานรากเร่งกำหนดมาตรการช่วยเหลือปชช.หลังโควิดฯคลาย พร้อมติดตามารทำงานคกก.ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน จ.นครศรีฯ เมื่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดนครศรีธรรมราช ครั้งที่ 1/2564 โดยมีนายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม นายนิพนธ์ กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นอย่างดี โดยจะติดตามความก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ แต่ที่สำคัญเน้นย้ำขอให้เร่งรัดให้การเบิกจ่ายงบประมาณที่เกี่ยวกับการอบรมสัมมนาให้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐ โดยให้คำนึงถึงการรักษาสุขอนามัยในการจัดกิจกรรมและความปลอดภัยในการบ้องกันโรคด้วย ส่วนผลผลิตทางการเกษตรขอให้ติดตามการขึ้นทะเบียนโครงการประกันรายได้ ทั้งยางพารา ปาล์มน้ำมัน ข้าว มันสำปะหลัง โดยให้สำนักงานเกษตรจังหวัดนครศรีธรรมราชกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครศรีธรรมราชต้องหารือกันอย่างใกล้ขีดเพื่อวางแผนการผลิตและการขายร่วมกัน “ในส่วนของการเตรียมการแก้ไขปัญหาเรื่องสำคัญเร่งด่วนของจังหวัดนครศรีธรรมราชขณะนี้นั้น คือเรื่องการเตรียมการป้องกันแก้ไขไฟไหม้ป่าพรุควนเคร็งในช่วงฤดูแล้งที่จะมาถึงนี้เพื่อลดความรุนแรงของสถานการณ์ให้ได้มากที่สุดเพราะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในพื้นที่อย่างมากเนื่องจากครอบคลุมพื้นที่หลายอำเภอของจังหวัด โดยในเบื้องต้นให้มีอาสาสมัครแนวป้องกันไฟลงพื้นที่เฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมเร่งสูบน้ำเข้าพื้นที่เพื่อหล่อเลี้ยงความชุ่มชื้นพื้นที่ป่าไว้ โดยผวจ. ปภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้าไปสนับสนุนการดำเนินเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญคือการเตรียมมาตรการเพื่อดูแลช่วยเหลือดูแลภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ต้องมีการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐเพื่อเข้าไปดูแลอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการอบรมสัมมนาที่สามารถเข้าถึงกลุ่มประชาชนในเศรษฐกิจฐานรากได้เพื่อสร้างโอกาสและสร้างรายได้ รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้บริหารแผนงานและงบพัฒนาจังหวัด ต้องเข้าไปบูรณาการร่วมกับภาคส่วนอื่นเพื่อดูแลพี่น้องประชาชนและภาคธุรกิจต่างๆให้ทั่วถึงและรวดเร็ว”นายนิพนธ์กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุมยังได้ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดนครศรีธรรมราชทั้ง 10 นโยบายหลักคือ การแก้ไขปัญหาการออกเอกสารสิทธิที่ดิน , การจัดสรรที่ดินทำกินตามนโยบายของรัฐบาล ผ่านคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ(คทช.) , การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และการขับเคลื่อนการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน , ปัญหาด้านแรงาน , ปัญหาด้านการเกษตร, ปัญหายาเสพติด , การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทย ด้านการสร้างความสมานฉันท์การเคารพและเทิดทูนสถาบันในสถาบันการศึกษา , การขึ้นทะเบียนวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร เป็นมรดกโลก , การแก้ไขปัญหาการจราจรวัดเจดีย์ อ.สิชล นอกจากนี้ยังได้ติดตามการดำเนินโครงการภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ 3 โครงการ เป็นต้น รวมถึงต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนในการดูแลพี่น้องประชาชนช่วงโควิดได้เป็นอย่างดี รวมทั้งการเร่งดำเนินการใช้งบประมาณเพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย และการใช้งบประมาณเพื่อการเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชอีกด้วย
“นิพนธ์” นำชาวสงขลาร่วมงานบุญใหญ่สมโภช “เสาหลักเมืองสงขลา” ครบรอบ 179 ปี สืบสานวัฒนธรรมประวัติศาสตร์ความดีงาม แทนคุณแผ่นดิน เสริมศิริมงคลให้ชีวิต เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 10 มีนาคม 2564 ที่ บริเวณหน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลาถ.นางงาม อ.เมืองสงขลา นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรเนื่องในพิธีสมโภชเสาหลักเมืองสงขลาครบ 179 ปี โดยมีนายจารุวัฒน์ เกลี้ยงเกลา ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นางกัญจนา เกลี้ยงเกลา ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดสงขลา นางสุรียพรรณ์ ณ สงขลา นายวรณัฏฐ์ หนูรอต รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนชาวสงขลา เข้าร่วมภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 สำหรับความเป็นมาของเสาหลักเมืองสงขลา จากการศึกษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พบว่า เมืองสงขลาย้ายสถานที่ตั้งเมืองมาแล้ว 3 ครั้ง โดยเริ่มจาก เมืองสงขลาฝั่งหัวเขาแดง ซึ่งปรากฎหลักฐานทางโบราณสถานและโบราณวัตถุหลายแห่ง แต่บ้านเมืองถูกทำลายจากภัยสงครามจนหมดสิ้น จึงย้ายเมืองมาตั้งที่ฝั่งแหลมสน แต่ต้องประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ และลักษณะภูมิศาสตร์เป็นพื้นที่ลาดชัน ไม่มีพื้นที่ราบเพียงพอในการขยายเมือง จึงย้ายเมืองอีกครั้งหนึ่งโดยข้ามทะเลมาอยู่ที่ฝั่งบ่อยาง ซึ่งเป็นเมืองสงขลาในปัจจุบัน โดยในสมัยรัชกาลที่ 3 และในประชุมพงศาวตารได้ระบุความตอนหนึ่งว่า “ครั้น ณ วันเดือน 4 ขึ้น 10 ค่ำ เวลาเช้าเก้าโมง 1 กับ 10 นาที ได้ฤกษ์ พระยาสงขลา (เถี้ยนเส้ง) กับพระครูอัษฎาจารย์พราหมณ์ได้เชิญหลักไม้ชัยพฤกษ์ลงฝังไว้ที่กลางเมืองสงขลา เป็นเสาหลักเมือง มีปรากฎอยู่จนทุกวันนี้” ซึ่งตามปฏิทินสุริยคติตรงกับวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2385 หรือเมื่อ 179 ปีมาแล้ว และจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ประเพณี วัฒนธรรมดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองสงขลา รวมทั้งการตั้งถิ่นฐานของเมืองสงขลาในอดีต จึงเห็นควรกำหนดให้วันที่ ๑๐ มีนาคมของทุกปีเป็น “วันสงขลา ” เพื่อระลึกถึงการสถาปนาเมืองสงขลาในยุคปัจจุบัน แม้ความจริงจะมี ประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปีแล้วก็ตาม เพื่อให้ผู้ที่อาศัยบนแผ่นดินนี้ ทั้งที่เป็นถิ่นกำเนิด พักพิง ศึกษาเล่าเรียน และประกอบอาชีพอยู่ทุกหนแห่งในปัจจุบันได้ตระหนัก มีจิตสำนึก และนำมาซึ่งการรวมพลัง สร้างความรัก ความสามัคคีดำเนินกิจกรรมร่วมกันเป็นการตอบแทนบุญคุณแผ่นดินสืบไป นอกจากนี้ ภายในศาลหลักเมืองสงขลา ยังมีองค์เทพศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องรักษาเมืองให้พ้นภัยพิบัติต่างๆ และเป็นที่เคารพสักการะ มีองค์เทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ เสี่ยงฮ๋องเหล่าเอี๋ย เจ้าพ่อหลักเมืองสงขลา พระเสื้อเมือง โบ้เชงไต่เต่ พระหมอรักษา ตี่ฮู่อ๋องเอี๋ย เทพเจ้ารักษาโรค และเฉ่งจุ้ยจ้อ พระหมอเทพรักษาโรคภัยของชาวสงขลา ทั้งนี้กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนศาลหลักเมืองเป็นโบราณสถาน เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2478 และในทุกวันที่ 10 มี.ค.จะมีการจัดสมโภชเป็นประจำทุกปีอีกด้วย
วันที่ 4 มีนาคม 2564 เวลา 14.00 น. นายชัยชาญ สิทธิวิรัชธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยและคณะ ได้เข้าตรวจเยี่ยมองค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) รัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย โดยมีนายชีระ วงศบูรณะ ผู้อำนวยการองค์การจัดการน้ำเสีย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และพนักงานองค์การจัดการน้ำเสียร่วมให้การต้อนรับ ซึ่งการตรวจเยี่ยมองค์การจัดการน้ำเสียของหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยในครั้งนี้ เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการของกระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2545 เพื่อให้หน่วยงานรับทราบนโยบายการตรวจราชการของกระทรวงมหาดไทย และนำเสนอเป้าหมาย ภารกิจงานหลัก รายงานผลการดำเนินงานที่เป็นนโยบายของรัฐวิสาหกิจ รวมถึงปัญหา/อุปสรรค ตลอดจนข้อเสนอแนะให้กับผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย และข้อมูลที่เกี่ยวข้องอันจะเป็นประโยชน์ ในการลงพื้นที่ตรวจราชการของผู้ตรวจราชการของผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564
เมื่อเวลา 10.30 น วันนี้(21 ก.พ.64) นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่เพื่อสำรวจบริเวณชายหาดที่ถูกคลื่นกัดเซาะ จนทำให้ต้นสนขนาดใหญ่ริมทะเลโค่นล้ม ได้รับความเสียหาย ณ ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมืองสงขลา โดยมีนายชัยพร นิยมแก้ว นายอำเภอเมืองสงขลา พร้อมด้วย นายเอกชัย ศิริพันธ์ รองประธานสภา อบจ.สงขลา ร่วมลงพื้นที่ นายนิพนธ์ รมช.มท.กล่าวว่า “วันนี้ได้ลงมาในพื้นที่ ที่ถูกคลื่นกัดเซาะชายฝั่งในบริเวณตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมืองสงขลาพร้อมด้วยนายอำเภอ และสมาชิกสภาจังหวัดสงขลา ซึ่งได้นำมาดูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเนื่องจากมรสุม โดยบริเวณนี้จะเจอกับสถานการณ์อย่างนี้ทุกปี มีการกัดเซาะชายฝั่ง เป็นเหตุให้ต้นสนซึ่งมีอายุกว่า 50 ถึง 70 ปีได้รับผลกระทบ ล้มเป็นแนวอย่างนี้ ดังนั้นในระยะอันใกล้นี้ ก็จะเชิญหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง จะเรียนกับท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาทิ กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย รวมถึงปภ. มาพูดคุยหามาตรการในการแก้ไขปัญหาคลื่นกัดเซาะชายฝั่งว่าจะมีการแก้ไขอย่างถาวรอย่างไร ไม่อย่างนั้นต้นสนที่เป็นธรรมชาติที่สวยงามของที่นี่ ก็จะถูกกัดเซาะตลอดไป และจะหามาตรการทำความเข้าใจกับชุมชนอย่างไร ในการที่จะ ช่วยกันดูแลรักษาธรรมชาติสิ่งเหล่านี้ไว้ และของใหม่ที่ทำก็ต้องไม่ให้มีผลกระทบกับธรรมชาติมากนัก อันนี้ก็จะดำเนินการต่อไป โดยจะขับเคลื่อนโครงการนี้ผ่านทางโครงการ “ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน” ซึ่งจะเป็นกลไกหนึ่งในการแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งในระยะสั้นเท่าที่ดูต้องให้หน่วยงานเดิม ซึ่งทราบว่ามีงบประมาณอยู่แล้ว แต่ทำความเข้าใจกับชุมชนยังไม่เรียบร้อย ซึ่งกรมเจ้าท่าก็มีงบประมาณอยู่ก้อนหนึ่ง แต่เกิดอะไรขึ้นยังไม่ทราบ ก็จะดูว่าจะมาแก้ไขอย่างไรไม่ให้ชายหาดแถวนี้ได้รับผลกระทบ ก็จะเร่งนัดทุกฝ่ายมาร่วมปรึกษากันอีกครั้งโดยเร็ว”
วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 องค์การจัดการน้ำเสียจัดกิจกรรม “บำเพ็ญสาธารณะประโยชน์” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ณ มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เขตราชเทวี กรุงเทพฯ โดยมี นายชีระ วงศบูรณะ ผู้อำนวยการองค์การจัดการน้ำเสีย ผู้บริหาร และพนักงานองค์การจัดการน้ำเสีย เข้าร่วมกิจกรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปลูกและปลุกจิตสำนึกด้านคุณธรรม จริยธรรม รวมถึงการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ให้กับพนักงาน และลูกจ้างขององค์การจัดการน้ำเสีย ตามนโยบายการบริหารองค์กรให้ประสบความสำเร็จโดยอาศัยหลักธรรมาภิบาล นำหลักการกำกับดูแลที่ดีมาใช้ในการปฏิบัติงาน มุ่งสร้างวัฒนธรรม องค์กรโปร่งใส ต่อต้าน การทุจริตคอร์รัปชันและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 9.00 น. ณ ห้องประชุมกรมราชทัณฑ์ ชั้น 3 อาคารกรมราชทัณฑ์ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี นายเชาวน์ นกอยู่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการบำบัดน้ำเสียศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีลงนาม “บันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการสนับสนุนและเสริมสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการน้ำเสียระหว่างองค์การจัดการน้ำเสียกับกรมราชทัณฑ์” โดยมีนายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายชีระ วงศบูรณะ ผู้อำนวยการองค์การจัดการน้ำเสีย ให้เกียรติร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงฉบับดังกล่าว ที่มาของการจัดทำบันทึกข้อตกลงฉบับนี้เกิดขึ้นจากการที่กรมราชทัณฑ์ร่วมกับศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ในการดำเนินการให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำเสียในเรือนจำทั่วประเทศ และเห็นว่าเรือนจำส่วนใหญ่ยังมีปัญหาในการจัดการน้ำเสีย เนื่องจากไม่มีระบบบำบัดน้ำเสียหรือมีปริมาณน้ำเสียเกินกว่าความสามารถของระบบบำบัดในเรือนจำ ส่งผลให้เกิดมลภาวะทั้งภายในเรือนจำและบริเวณชุมชนข้างเคียง อีกทั้งยังก่อให้เกิดความสิ้นเปลืองทรัพยากร เนื่องจากไม่สามารถนำน้ำที่ใช้แล้วมาบำบัดและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ กรมราชทัณฑ์จึงประสานงานขอความอนุเคราะห์จากองค์การจัดการน้ำเสีย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความชำนาญด้านการจัดการน้ำเสียในภาพรวมของประเทศ เพื่อขอรับคำปรึกษาและข้อเสนอแนะในการวางแผนและพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำเสียของกรมราชทัณฑ์ ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ซึ่งทางองค์การจัดการน้ำเสียได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสียของกรมราชทัณฑ์ขึ้นเป็นการเฉพาะ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่างทั้งสองหน่วยงาน
นิพนธ์ กำชับ ผู้ว่าฯนครศรี ป้องกันไฟไหม้ป่าพรุควนเคร็ง หวั่นแล้งนี้ส่งผลกระทบรุนแรง ห่วงผลกระทบเศรษฐกิจฐานรากเร่งกำหนดมาตรการช่วยเหลือปชช.หลังโควิดฯคลาย พร้อมติดตามารทำงานคกก.ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน จ.นครศรีฯ เมื่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดนครศรีธรรมราช ครั้งที่ 1/2564 โดยมีนายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม นายนิพนธ์ กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นอย่างดี โดยจะติดตามความก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ แต่ที่สำคัญเน้นย้ำขอให้เร่งรัดให้การเบิกจ่ายงบประมาณที่เกี่ยวกับการอบรมสัมมนาให้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐ โดยให้คำนึงถึงการรักษาสุขอนามัยในการจัดกิจกรรมและความปลอดภัยในการบ้องกันโรคด้วย ส่วนผลผลิตทางการเกษตรขอให้ติดตามการขึ้นทะเบียนโครงการประกันรายได้ ทั้งยางพารา ปาล์มน้ำมัน ข้าว มันสำปะหลัง โดยให้สำนักงานเกษตรจังหวัดนครศรีธรรมราชกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครศรีธรรมราชต้องหารือกันอย่างใกล้ขีดเพื่อวางแผนการผลิตและการขายร่วมกัน “ในส่วนของการเตรียมการแก้ไขปัญหาเรื่องสำคัญเร่งด่วนของจังหวัดนครศรีธรรมราชขณะนี้นั้น คือเรื่องการเตรียมการป้องกันแก้ไขไฟไหม้ป่าพรุควนเคร็งในช่วงฤดูแล้งที่จะมาถึงนี้เพื่อลดความรุนแรงของสถานการณ์ให้ได้มากที่สุดเพราะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในพื้นที่อย่างมากเนื่องจากครอบคลุมพื้นที่หลายอำเภอของจังหวัด โดยในเบื้องต้นให้มีอาสาสมัครแนวป้องกันไฟลงพื้นที่เฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมเร่งสูบน้ำเข้าพื้นที่เพื่อหล่อเลี้ยงความชุ่มชื้นพื้นที่ป่าไว้ โดยผวจ. ปภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้าไปสนับสนุนการดำเนินเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญคือการเตรียมมาตรการเพื่อดูแลช่วยเหลือดูแลภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ต้องมีการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐเพื่อเข้าไปดูแลอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการอบรมสัมมนาที่สามารถเข้าถึงกลุ่มประชาชนในเศรษฐกิจฐานรากได้เพื่อสร้างโอกาสและสร้างรายได้ รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้บริหารแผนงานและงบพัฒนาจังหวัด ต้องเข้าไปบูรณาการร่วมกับภาคส่วนอื่นเพื่อดูแลพี่น้องประชาชนและภาคธุรกิจต่างๆให้ทั่วถึงและรวดเร็ว”นายนิพนธ์กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุมยังได้ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดนครศรีธรรมราชทั้ง 10 นโยบายหลักคือ การแก้ไขปัญหาการออกเอกสารสิทธิที่ดิน , การจัดสรรที่ดินทำกินตามนโยบายของรัฐบาล ผ่านคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ(คทช.) , การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และการขับเคลื่อนการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน , ปัญหาด้านแรงาน , ปัญหาด้านการเกษตร, ปัญหายาเสพติด , การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทย ด้านการสร้างความสมานฉันท์การเคารพและเทิดทูนสถาบันในสถาบันการศึกษา , การขึ้นทะเบียนวัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร เป็นมรดกโลก , การแก้ไขปัญหาการจราจรวัดเจดีย์ อ.สิชล นอกจากนี้ยังได้ติดตามการดำเนินโครงการภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ 3 โครงการ เป็นต้น รวมถึงต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนในการดูแลพี่น้องประชาชนช่วงโควิดได้เป็นอย่างดี รวมทั้งการเร่งดำเนินการใช้งบประมาณเพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย และการใช้งบประมาณเพื่อการเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชอีกด้วย